ในแวดวงธุรกิจเราจะได้เห็นทั้งคำว่า วิจัยตลาด (Market Research) และ วิจัยการตลาด (Marketing Research) แล้วมันต่างกันอย่างไร? มีการใช้ 2 คำนี้แทนกันจนทำให้เราสับสนอยู่พอสมควร วิจัยตลาด (Market Research) คือกระบวนการในการค้นหาคำตอบว่าผู้บริโภคในตลาดนั้นมีความต้องการอย่างไร ด้วยวิธีการค้นหาข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำข้อมูลที่ได้นั้นมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหาและวางแผนกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น ภาพรวมของตลาดสินค้า ๆ หนึ่ง มีความต้องการสินค้าแบบไหน งบประมาณต่อการซื้อสินค้าประเภทเดียวกันเป็นอย่างไร ภาพลักษณ์ของสินค้าที่ลูกค้าที่ต้องการเป็นแบบไหน รวมถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบเดียวกันซ้ำ รวมถึงส่วนแบ่งการตลาดของคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อม การวิจัยตลาด ควรเป็นสิ่งแรกสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงธุรกิจ เพื่อทราบข้อมูลทั้งเบื้องต้นและเชิงลึก ตลอดจนประเมินว่าสินค้าหรือบริการใหม่มีศักยภาพอย่างไรสำหรับตลาดเป้าหมาย กระบวนการ วิจัยตลาด โดยทั่วไป มีดังนี้ วิจัยการตลาด (Marketing Research) คือกระบวนการเก็บข้อมูลมาจากผู้บริโภคด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ประมวลผลทางสถิติ ออกมาเป็นค่าความถี่และความเที่ยงของข้อมูล ที่สามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในด้านการสร้างกลยุทธ์การตลาด หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ จุดประสงค์ของการวิจัยการตลาด วิจัยการตลาดลูกค้า ใช้เพื่อหาข้อมูลเรื่องแรงจูงใจและพฤติกรรมของลูกค้า ลักษณะที่ตั้งตามภูมิศาสตร์ของกลุ่มลูกค้าและข้อมูลประชากร จำนวนและอำนาจการใช้จ่าย และความน่าเชื่อถือของลูกค้า ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ ในการแบ่งกลุ่มลูกค้าและการกำหนดเป้าหมาย แต่ยังมีประโยชน์สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อีกด้วย…
Category Archives: General
ตลาดออนไลน์ ที่หลายคนอาจเคยมองข้ามด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป แต่ด้วยสถานการณ์วิกฤติในปัจจุบัน ทุกธุรกิจ B2C ที่เคยมีหลายช่องทางขาย เหมือนถูกบีบให้เหลือ ออนไลน์เพียงช่องทางเดียวที่เป็น touchpoint ในการสื่อสารกับผู้บริโภค หลายธุรกิจต้องรีบผันตัวเข้าสู่ ตลาดออนไลน์ เต็มรูปแบบ คนไทยมีสถิติใช้ social media สูงติดอันดับโลก และสามารถใช้ social media ทุก platform ให้เป็นร้านค้าเกิดการซื้อขายได้ทุกช่องทาง ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคในลักษณะนี้ ทำให้ ตลาดออนไลน์ ของไทยเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ทุกแบรนด์จะสามารถปรากฏสู่ timeline และเป็นที่พูดถึงในการรับรู้ของผู้บริโภค หรือโดดเด่นขึ้นมาจากธุรกิจเดียวกันได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางธุรกิจที่ไม่เคยทำตลาดออนไลน์มาก่อน อาจจะจับจุดไม่ได้ว่าควรทำอะไร ต้องมีอะไรบ้าง เริ่มต้นยังไงเพื่อที่จะให้แบรนด์ของตัวเองปรากฏสู่ผู้บริโภคได้ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดแบบปัจจุบัน วันนี้ crowdabout จะมาแนะนำวิธีที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณ ไม่จมไปไทม์ไลน์หรือถูก แบรนด์อื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกันบังซีนการเฉิดฉายสู่สายตาผู้บริโภค สร้างจุดแข็งด้วยเจตจำนงค์ของแบรนด์ (Brand purpose) การที่แบรนด์ต้องตอบให้ได้ว่านอกจากสร้างแบรนด์ขึ้นมาขายสินค้าที่มีคุณภาพแล้ว แบรนด์เราสามารถสร้างประโยชน์อะไรให้สังคมหรือผู้บริโภคได้ การสร้าง brand purpose คือ นำความเป็นแบรนด์กับประเด็นกระแสสังคมที่แบรนด์ตระหนักและอยากช่วยพัฒนาผลักดันมารวมกันและหาทางสื่อสารกับผู้บริโภค เป็นการทำความเข้าใจ insight ความต้องการ…
Market Research 2022 ในปีต่อจากนี้ การวิจัยตลาดเป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดใหญ่ทำกันเป็นประจำ การทำวิจัยตลาดก็เหมือนกับการหาข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เพื่อทำให้โอกาสผิดพลาดในการตัดสินใจลดลง Market Research 2022 เพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ การออกสินค้าหรือบริการใหม่ของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ จะมีการวิเคราะห์ความเสี่ยง และโอกาสในความสำเร็จอย่างรอบด้าน โดยข้อมูลที่ต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์คือข้อมูลเดิมที่มีอยู่ของธุรกิจ เช่น ข้อมูลขีดความสามารถในการผลิตสินค้าเพื่อวางแผนเรื่องกำลังการผลิต หรือข้อมูลยอดขายสินค้าเพื่อวิเคราะห์ความนิยมในด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาออกแบบสินค้าใหม่ ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือข้อมูลของลูกค้าและข้อมูลตลาด โดยการวิจัยตลาดจะสามารถเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและตลาดในด้านการค้นหา Customer Insights และ Market Insights ที่มีนัยสำคัญในการช่วยวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อมูลตัวตั้งร่วมในการออกแบบ พัฒนาสินค้าใหม่ หรือปรับปรุงสินค้าที่มีอยู่แล้วได้เช่นกัน Market Research 2022 เพื่อวิเคราะห์ลูกค้าเดิม ขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ลูกค้าเก่าถือเป็นขุมทรัพย์ของธุรกิจ และข้อมูลลูกค้าเก่ามักเป็นสิ่งที่ธุรกิจละเลยในการนำมาใช้ประโยชน์ วิเคราะห์ ต่อยอดไปสู่การเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นได้ จนสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าในระบบได้ การวิจัยตลาด จึงเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่สามารถช่วยธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเก่าอย่างละเอียด แล้วนำมาใช้เป็นรายละเอียดตั้งต้นในการสำรวจ Customer Insights ที่ลึกซึ้งของกลุ่มลูกค้าเก่า เพื่อนำไปออกแบบกระบวนการสื่อสารและ Marketing Communications…
บุคลิกแบรนด์ ที่ผสมผสานขึ้นมาจาก Archetype การสร้าง Brand Personality คือ การสร้าง บุคลิกแบรนด์ ให้เป็นเอกลักษณ์ น่าสนใจ และน่าจดจํา การเป็นคนที่น่าสนใจมักจะมีบุคลิกหลาย ๆ แบบประกอบกันรวมขึ้นมาเป็นเรา ในบางสถานการณ์คนอาจจะพูดได้ว่าเราเป็นคนสุขุม แต่ในอีกสถานการณ์เราก็อาจจะเป็นคนคลก สนุกสนานก็ได้เช่นกัน แต่เราก็จะมีบุคลิกหลักที่ทุกคนจะพูดเหมือนกันเมื่อพูดถึงเรา เช่นเดียวกับการทำแบรนด์ เรามักจะนำ Archetype ที่ใช้สร้าง Personality มาผสมผสานกันเพื่อให้ได้บุคลิกที่เป็นธรรมชาติ มีมิติและน่าสนใจ โดยมักจะแบ่งเป็นสัดส่วนคือ บุคลิกหลัก กับบุคลิกรอง บุคลิกหลักของแบรนด์ควรจะมีขั้นต่ำ 70% เป็นอย่างน้อย เป็นส่วนที่จะบอกว่าคุณคือธุรกิจอะไร ทำอะไรเพื่อใครบ้าง เป็นส่วนที่เป็นภาพจําของลูกค้า และส่วนมากทุก ๆ แบรนด์ในตลาดธุรกิจนั้น ๆ นิยมใช้เหมือนกัน (ถ้าน้อยกว่านี้บุคลิกภาพของแบรนด์จะดูสับสนไม่ชัดเจนว่าคืออะไร ทำอะไร และจะยากในการสื่อสารกับลูกค้า เพราะเขาก็จะมีความคุ้นชินกับบุคลิกของธุรกิจประเภทต่าง ๆ) บุคลิกรองคืออีก 30% ที่เหลือ ส่วนนี้จำเป็นต้องใช้อย่างชาญฉลาด เพราะเป็นส่วนที่ใช้เพื่อสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง เป็นส่วนที่จะทำให้แบรนด์คุณโดดเด่นและไม่จมไปในท้องทะเลของธุรกิจเดียวกัน วิธีใช้ Archetype สร้างบุคลิกภาพของแบรนด์สามารถทำได้หลากหลาย ที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้คือ…
เลือก Brand Archetype ให้เหมาะกับ Brand Personality การนำ Brand Archetype หรือต้นแบบมาใช้สร้าง Personality ก็คือ การนำเจตจำนง ความปรารถนาในใจลึกๆของมนุษย์ ขึ้นมากำหนดบุคลิกภาพของแบรนด์ ซึ่งทุกคนมีเจตจำนง ความปรารถนาในใจแตกต่างกันแบ่งเป็น 12 กลุ่ม ตามทฤษฎีของ Carl Jung วิธีเลือก Archetype ให้ง่ายที่สุดก็คือลองจินตนาการว่า ถ้าแบรนด์เป็นคน มีชีวิต จะอยากเห็นเขาเป็นอย่างไร ใส่เสื้อผ้าแบบไหน วิธีพูดอย่างไร อยากพรีเซ็นท์ส่วนไหนในตัวคนนี้หรืออยากให้เพื่อน ๆ รู้จักคนคนนี้ในมุมมองไหน โดยมีวิธีคิด 2 ข้อหลัก ๆ 1. เขียนเป็น Keywords เขียนคำที่แสดงความรู้สึกหรือพฤติกรรม โดยแบ่งคำออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ก่อน คือ สิ่งที่แบรนด์จะเป็น กับ สิ่งที่แบรนด์จะไม่เป็น พอเขียนครบ จนคิดไม่ออก ก็จัดกลุ่มคำที่มีความหมายคล้ายกัน แล้วเทียบดูว่าทั้งหมดที่เขียนเข้าล็อคกับ archetype…
เริ่มต้นธุรกิจ ใด ๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในปัจจุบันเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดน แต่เพราะไม่ใช่เรื่องยากนี่เอง จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะอยู่รอดได้ในสภาวะสังคมและเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่สูง และยิ่งช่วงที่โควิดยังไม่จบ แล้วประเทศไทยเราก็จะต้องพยายามเปิดให้กลับมาเป็นปกติให้ได้ ล้วนมีแต่ความสุ่มเสี่ยงในทุกการก้าวเดินตัดสินใจ ไม่มีอะไรที่จะมาคอยเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของเราเองได้นอกจากตัวเราเอง วันนี้ Crowdabout ได้นำสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ สำหรับนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการมือใหม่มาฝากกันค่ะ 1. เริ่มต้นธุรกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มักจะมุ่งเน้นไปที่วิธีการและปัจจุบันมากกว่าการมองไปยังอนาคต ทว่าในความเป็นจริงนั้นเนื่องด้วยสภาพของสังคม เศรษฐกิจ และองค์ประกอบปัจจัยอื่น ๆ ทำให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมองธุรกิจแบบระยะยาวและมีการคาดการณ์ถึงแผนในอนาคตอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงธุรกิจหรือผู้ประกอบการอื่นเพื่อให้สามารถวางแผนได้อย่างรัดกุมยิ่งขึ้น 2. การตรวจสอบตลาด ก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจจะต้องสำรวจตลาดก่อนว่าเป็นอย่างไร มีสินค้าและบริการแบบไหนเกิดขึ้นแล้วบ้าง กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการในสินค้าและบริการแบบใดบ้าง สินค้าหรือบริการของเราเหมาะสมหรือเป็นที่ต้องการของลูกค้ากลุ่มใดบ้าง รวมทั้งการเรียนรู้วิธีการขาย มีการคำนวณต้นทุนให้ละเอียดเพื่อตั้งราคาขายให้ได้กำไรอย่างที่ควรจะเป็น 3. ต้องมีการเตรียมใจ หลายคนอาจเคยได้ยินสำนวนที่ว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” การทำอะไรสักอย่างก็สามารถเกิดความผิดพลาดได้เป็นธรรมดา โดยอาจเป็นเพียงการผิดพลาดเล็กน้อยหรืออาจถึงขั้นทำให้ขาดทุนจนแทบล้มละลาย แม้บางคนอาจเดินตามรอยที่เป็นสูตรสำเร็จของธุรกิจอื่น แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าทุกธุรกิจจะสำเร็จตามเส้นทางนั้นได้ ถึงกระนั้นแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีคำพูดในทำนองเดียวกันว่า “ความผิดพลาดนั้นจะทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ เสมอ” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเตรียมใจและเตรียมรับมือกับความล้มเหลวอย่างรัดกุม มีแผนการรองรับ และมีการวิเคราะห์ความล้มเหลวนั้นเป็นอย่างดีและถี่ถ้วน 4….