การศึกษาภาพรวมตลาดผู้สูงอายุในไทยและต่างประเทศพบว่า แนวโน้มของตลาดผู้สูงอายุเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้สินค้าและบริการของตลาดผู้สูงอายุประเภทบ้านพักคนชราหรือบ้านพักผู้สูงอายุ (Retirement community) เป็นหนึ่งในธุรกิจที่เจ้าของธุรกิจหรือลูกค้าของ Crowdabout ให้ความสนใจ
จากการศึกษาและวิเคราะห์ตลาดธุรกิจดูแลผู้สูงอายุพบว่า ผู้สูงอายุจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีพฤติกรรมและความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะเริ่มวางแผนกลยุทธ์และการตลาดจะต้องทราบก่อนว่าผู้สูงอายุประเภทที่คุณกำลังต้องการกำหนดให้เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณเป็นผู้สูงอายุในกลุ่มใด เพราะผลิตภัณฑ์หรือบริการในแต่ละกลุ่มต้องทำเพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องของวัฒนธรรมและค่านิยมเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
3 กลุ่มของผู้สูงอายุ ได้แก่
1. กลุ่มติดสังคม (สามารถดูแลตัวเองได้ดี)
ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีสุขภาพทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่ดี บางท่านอาจมีโรคเรื้อรังแต่สามารถควบคุมและจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถทำกิจกรรมและช่วยเหลือผู้สูงอายุท่านอื่นได้อีกด้วย ซึ่งผู้สูงอายุในกลุ่มนี้จะเห็นคุณค่าของสินค้าหรือบริการที่ส่งเสริมการเข้าสังคม เช่น การท่องเที่ยว กิจกรรมพบปะ การสื่อสารผ่านโทรศัพท์ หรือ Social media
2. กลุ่มติดบ้าน (ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง)
ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลือในบางเรื่อง ส่วนมากอาจมีโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวทำให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวมาก โดยผู้สูงอายุในกลุ่มนี้จะเห็นคุณค่าของสินค้าหรือบริการที่ช่วยให้สามารถเป็นอิสระในการใช้ชีวิตทำให้ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ดูแล เช่น อุปกรณ์ช่วยการเดิน การลุกนั่ง การติดต่อสื่อสาร
3. กลุ่มติดเตียง (ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดีเท่าที่ควร)
ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เพราะมีโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อนหลายโรค ดังนั้นผู้สูงอายุในกลุ่มนี้จึงต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาและไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ สินค้าหรือบริการสำหรับผู้สูงอายุกลุ่มนี้จึงต้องมุ่งเน้นไปที่การลดความกังวลรวมถึงเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ดูแลและผู้สูงอายุด้วย
จากการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนหลายร้อยคน Crowdabout พบว่า ค่านิยมในการดูแลผู้สูงอายุในไทย กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่คนไทยยังไม่เปิดรับวัฒนธรรมการส่งผู้สูงอายุไปพักที่บ้านพักคนชราและค่านิยมการนำผู้สูงอายุไปพักที่บ้านพักคนชรามีค่าเท่ากับการทอดทิ้งบุพการี โดยจากการสำรวจของ Crowdabout พบว่า
กว่า 35% ของ Sandwich Generation เคยพิจารณาส่งผู้สูงอายุในครอบครัวไปอยู่ที่ บ้านพักคนชรา บ้านพักผู้สูงอายุ หรือชุมชนวัยเกษียน และแม้แต่ตัวผู้สูงอายุเอง หรือคนที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุก็เริ่มมองหาบ้านพักเพื่อตนเอง เพื่อลดภาระให้กับลูกหลาน
ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ และบ้านพักผู้สูงอายุในรูปแบบต่าง ๆ
เนื่องจากผู้สูงอายุแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ การบริการบ้านพักผู้สูงอายุหรือบ้านพักคนชราจึงต้องถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุที่แตกต่างกันออกไป เราจึงขอหยิบยกรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุและบ้านพัก 6 รูปแบบที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพื่อเป็นไอเดียทางธุรกิจให้กับผู้ที่กำลังสนใจทำธุรกิจในด้านนี้
1. ผู้ดูแลที่บ้าน (Care at home)
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ โดยใช้วิธีจ้างผู้ดูแลเพื่อดูแลหรือทำงานต่าง ๆ ภายในบ้าน เช่น การทำความสะอาดบ้าน ซักรีด เตรียมอาหาร รวมถึงการพาไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การพบแพทย์ ซึ่งรูปแบบบริการนี้จะส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของผู้สูงอายุเพราะจะได้อยู่ในบ้านของตนเอง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถตกลงค่าจ้างกับผู้ดูแลได้
2. ที่อยู่อาศัยเฉพาะผู้สูงอายุ (Residential home)
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่เริ่มต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น แต่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ โดยไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โดยปกติแล้วที่พักรูปแบบนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่มากและมีบริการช่วยเหลือผู้สูงอายุให้ดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้สะดวกมากขึ้น เช่น บริการด้านอาหาร การอาบน้ำ ซักรีด บริการรถเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล ซึ่งค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ระดับปานกลางถึงระดับสูง ขึ้นอยู่กับบริการที่มี
3. สถานบริบาลผู้สูงอายุ (Nursing home)
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ระดับที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ในบางเรื่องไปจนถึงระดับที่ต้องการการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ โดยที่พักประเภทนี้จะมีบริการอาหารครบทุกมื้อ การดูแลเรื่องการอาบน้ำ ทำความสะอาดห้อง การดูแลเรื่องการทานยา การเดินทางไปพบแพทย์ตามนัด และมีพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งที่พักในรูปแบบนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
4. สถานดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะโรคสมองเสื่อม (Dementia and Alzheimer’s Care)
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ เนื่องจากที่พักอาศัยประเภทนี้เป็นที่พักเฉพาะด้านที่มีบุคลากรทางการแพทย์คอยดูแลและช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โดยบริการประเภทนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
5. ชุมชนวัยเกษียณ (Retirement community)
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ต้องการสังคมหรือการดูแลเป็นรายวัน ซึ่งการอยู่ในชุมชนแบบนี้จะทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับคนในวัยใกล้เคียงกัน โดยเน้นให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ช่วยเหลือตนเอง มีสังคม มีเพื่อน และอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสม ซึ่งค่าใช้จ่ายของที่พักประเภทนี้ค่อนข้างสูง โดยจะประกอบไปด้วยค่าแรกเข้าและค่าใช้จ่ายรายเดือน ในส่วนของค่าใช้จ่ายรายเดือนจะเพิ่มขึ้นตามความช่วยเหลือที่ต้องการ
6. บ้าน-คอนโดผู้สูงอายุ (Independent living)
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ แต่ต้องการบริการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และต้องการเพื่อนในวัยเดียวกันไว้พูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน โดยผู้สูงอายุจะย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่เฉพาะ ซึ่งอาจเป็นรูปแบบของบ้านพัก อพาร์ทเม้นท์ หรือคอนโดมิเนียม ที่มีพื้นที่ส่วนกลางให้ใช้ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส รวมไปถึงกิจกรรมอื่น เช่น คลาสเรียนโยคะ มีบริการรถรับ-ส่ง ไปยังแหล่งช้อปปิ้งตามเวลาที่โครงการกำหนด ทำให้ค่าใช้จ่ายที่พักประเภทนี้อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับความหรูหราและทำเลที่ตั้ง
นอกจากนี้การสำรวจของ Crowdabout พบว่า ราคาบ้านพักผู้สูงอายุที่คนส่วนใหญ่สนใจและพร้อมจ่าย จะอยู่ที่ช่วงราคา 10,000 – 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งในการเลือกใช้บริการบ้านพักผู้สูงอายุ นอกจากตัวผู้สูงอายุจะเป็นผู้ตัดสินใจเองแล้ว กลุ่มลูกหลานหรือ Sandwich generation ก็เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการในตลาดผู้สูงอายุด้วย