เริ่มต้นธุรกิจ ใด ๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในปัจจุบันเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดน แต่เพราะไม่ใช่เรื่องยากนี่เอง จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะอยู่รอดได้ในสภาวะสังคมและเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่สูง และยิ่งช่วงที่โควิดยังไม่จบ แล้วประเทศไทยเราก็จะต้องพยายามเปิดให้กลับมาเป็นปกติให้ได้ ล้วนมีแต่ความสุ่มเสี่ยงในทุกการก้าวเดินตัดสินใจ ไม่มีอะไรที่จะมาคอยเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของเราเองได้นอกจากตัวเราเอง วันนี้ Crowdabout ได้นำสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ สำหรับนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการมือใหม่มาฝากกันค่ะ
1. เริ่มต้นธุรกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มักจะมุ่งเน้นไปที่วิธีการและปัจจุบันมากกว่าการมองไปยังอนาคต ทว่าในความเป็นจริงนั้นเนื่องด้วยสภาพของสังคม เศรษฐกิจ และองค์ประกอบปัจจัยอื่น ๆ ทำให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมองธุรกิจแบบระยะยาวและมีการคาดการณ์ถึงแผนในอนาคตอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงธุรกิจหรือผู้ประกอบการอื่นเพื่อให้สามารถวางแผนได้อย่างรัดกุมยิ่งขึ้น
2. การตรวจสอบตลาด
ก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจจะต้องสำรวจตลาดก่อนว่าเป็นอย่างไร มีสินค้าและบริการแบบไหนเกิดขึ้นแล้วบ้าง กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการในสินค้าและบริการแบบใดบ้าง สินค้าหรือบริการของเราเหมาะสมหรือเป็นที่ต้องการของลูกค้ากลุ่มใดบ้าง รวมทั้งการเรียนรู้วิธีการขาย มีการคำนวณต้นทุนให้ละเอียดเพื่อตั้งราคาขายให้ได้กำไรอย่างที่ควรจะเป็น
3. ต้องมีการเตรียมใจ
หลายคนอาจเคยได้ยินสำนวนที่ว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” การทำอะไรสักอย่างก็สามารถเกิดความผิดพลาดได้เป็นธรรมดา โดยอาจเป็นเพียงการผิดพลาดเล็กน้อยหรืออาจถึงขั้นทำให้ขาดทุนจนแทบล้มละลาย แม้บางคนอาจเดินตามรอยที่เป็นสูตรสำเร็จของธุรกิจอื่น แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าทุกธุรกิจจะสำเร็จตามเส้นทางนั้นได้ ถึงกระนั้นแทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีคำพูดในทำนองเดียวกันว่า “ความผิดพลาดนั้นจะทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ เสมอ” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเตรียมใจและเตรียมรับมือกับความล้มเหลวอย่างรัดกุม มีแผนการรองรับ และมีการวิเคราะห์ความล้มเหลวนั้นเป็นอย่างดีและถี่ถ้วน
4. เริ่มต้นธุรกิจ ต้องมีการคำนวณเวลาและเงินทุน
เมื่อเราตัดสินใจได้ว่าจะทำธุรกิจอะไร เราจะต้องทำความเข้าใจกับระยะเวลาในการทำธุรกิจ ทั้งระยะเวลาในการเตรียมการ ระยะเวลาในการคืนทุน และระยะในการทำกำไร อีกทั้งยังต้องทำให้แน่ใจได้ว่า เรามีเงินทุนเพียงพอสำหรับธุรกิจ อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงระยะคืนทุน โดยครึ่งหนึ่งของธุรกิจขนาดเล็กนั้น มักล้มเหลวเพียงเพราะเงินทุนไม่เพียงพอ โดยอาจต้องมีแหล่งเงินทุนสำรองเพื่อรองรับวิกฤตต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเมื่อมีเงินทุนมากเพียงพอก็จะลดโอกาสที่จะล้มเหลวได้นั่นเอง
5. ไม่มีใครเข้าใจลูกค้ามากไปกว่าตัวลูกค้าเอง
บ่อยครั้งที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่มุ่งเน้นไปที่การตลาดและการขายเพียงอย่างเดียว จนเกิดการละเลยที่จะทำความเข้าใจกับลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยธุรกิจที่สามารถอยู่รอดได้นั้น เกิดจากการที่พวกเขารู้จักและมีความเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่นั้น จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของตัวเองอยู่เสมอ เช่นการทำการวิจัยการตลาด โดยห้ามคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
6. เริ่มต้นธุรกิจ ต้องรับฟังเสียงจากลูกค้า
ทั้งคำติ คำชม และคำแนะนำ ที่ได้รับจากลูกค้านั้น ต่างล้วนแล้วแต่สามารถนำมาวิเคราะห์ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า โดยที่เสียงจากลูกค้านั้นเป็นคำแนะนำที่ดียิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นเสียงจากผู้ใช้งานจริงและเป็นเสียงจากผู้ที่พบ Pain Point จริง ๆ อีกทั้งยังไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้อีกด้วย การรับฟังเพื่อนำไปวิเคราะห์ อันจะนำไปสู่การหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้นั้น จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของเราสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี
7. การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ
สิ่งที่แน่นอนเพียงอย่างเดียวของโลกแห่งธุรกิจ คือ อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมหรือความนิยมของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี กระแสนิยม Influencer หรือปัจจัยอื่น ๆ ผู้ประกอบการจึงต้องมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงและข่าวสารอยู่เสมอ โดยเฉพาะสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้าและต่อธุรกิจของเรา
คำแนะนำเพิ่มเติม
- การเริ่มต้นธุรกิจสิ่งที่ควรทำอาจต้องคำนึงถึงมากกว่าแค่ เราเชี่ยวชาญด้านไหน เก่งเรื่องอะไร แต่อาจจะต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตและความเป็นไปในโลกอนาคต ว่าจะเอาสิ่งที่เรามีอยู่และความน่าจะเป็นมาผนวกรวมเข้าด้วยกัน จนทำให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร
- เริ่มต้นธุรกิจด้วยการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรัพยากรบุคคล ที่ทำงาน การผลาญงบประมาณไปกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าเช่าที่ตั้งสำนักงาน ค่าสันทนาการ หรืออื่น ๆ ที่ยังอาจไม่จำเป็นในช่วงแรกของการเริ่มต้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่จำเป็นต้องจับจ่ายก็ยังคงจำเป็นอยู่เช่นเคย ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเปิดคลินิก ก็จำเป็นที่จะต้องมีที่ตั้งที่ทำการ มีพนักงานในฝ่ายที่จำเป็น แต่อาจจะลดค่าใช้จ่าย ด้วยการที่ไม่จำเป็นต้องเปิดทำการทุกวัน ใช้วิธีนัดหมายก่อนเข้ามารักษา แทนการสิ้นเปลืองค่าน้ำค่าไฟเพื่อเปิดรอกลุ่มเป้าหมายเดินเข้ามาแทน ในทางกลับกัน หากประหยัดต้นทุนมากเกินไป จนกระทบกับลูกค้า เช่น ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่น่าเชื่อถือขึ้นมา หรือทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ประทับใจ แทนที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจ ก็อาจจะทำให้ธุรกิจที่กำลังจะไปได้ด้วยดี ติดชะงักลงไปได้
- ธุรกิจที่มีแนวโน้มว่ากำลังจะมาแรง ทั้งในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด 19 และหลังจากเปิดประเทศไปแล้ว เช่น ธุรกิจทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ธุรกิจขนส่งสินค้าที่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถขนส่งด้วยธุรกิจขนส่งแบบเดิม ๆ ได้ ธุรกิจการสอนออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขลักษณะต่าง ๆ เช่น หน้ากากกันไวรัส เชื้อโรค และฝุ่นควัน น้ำยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล์ และอื่น ๆ ธุรกิจการท่องเที่ยวแบบส่วนตัว
นี่เป็นเพียงข้อแนะนำเบื่องต้นเท่านั้น สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจ แม้ว่าโควิดจะยังไม่จบ แล้วทุกภาคส่วนก็จะต้องเปิดประเทศให้กลับมาสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด มองในแง่ดีนี่คือโอกาสที่ทำให้เราไม่หยุดชะงักอยู่กับที่นานไปมากกว่านี้ แต่การรีบเดินฝ่าโควิดนี้ก็จะยิ่งต้องระวังให้รอบด้านมากขึ้นเป็นพิเศษ ฝากติดตามบทความเพื่อคนทำธุรกิจจาก Crowdabout ในครั้งต่อไปได้ที่นี่ค่ะ และเรายินดีเป็นที่ปรึกษาให้ผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจในเบื้องต้นฟรี